ยินดีต้อนรับ
วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสโมสร
1. เพื่อเป็นการส่งเสริมด้านสุขภาพ และลดความเครียดจากการทำงาน
2. เพื่อเป็นการตอบสนองสมาชิกที่อยากเล่นบอล แต่ไปขอใครเล่นเขา
ก็ไม่ให่เล่น จึงคิดตั้งสโมสรขึ้นมาเล่นเอง ฮิฮิ
3. เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ที่ทำงานกันที่อื่น
4. วัตถุประสงค์สุดท้ายคือ หาเรื่องไปหาอารัยกินกัน
1. เพื่อเป็นการส่งเสริมด้านสุขภาพ และลดความเครียดจากการทำงาน
2. เพื่อเป็นการตอบสนองสมาชิกที่อยากเล่นบอล แต่ไปขอใครเล่นเขา
ก็ไม่ให่เล่น จึงคิดตั้งสโมสรขึ้นมาเล่นเอง ฮิฮิ
3. เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ที่ทำงานกันที่อื่น
4. วัตถุประสงค์สุดท้ายคือ หาเรื่องไปหาอารัยกินกัน
วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554
"เซอร์อเล็กซ์ปั้นคุณได้และทำลายคุณได้"-แกรี่
ผมได้ยินคนพูดกันว่าผู้จัดการทีมไม่สามารถทำอะไรได้ หลังนักเตะสิ่งผ่านเส้นกั้นในสนามไปแล้ว นั่นมันเป็นเรื่องตอแหล เจ้านายของเรา เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับทีมทุกๆครั้งที่มีการแข่งขัน คุณสามารถรู้สึกถึงเขาได้ในหัวของคุณ คุณจะคิดว่า "พระเจ้า เราจะต้องปเผชิญหน้ากับเขาในช่วงพักครึ่ง เราควรจะทำผลงานให้ดีขึ้ันหรืออาจจะโดนเขาเลาะกระโหลกออกมาได้"
เขาเป็นคนที่ควบคุมทุกๆอย่าง เขาเป็นคนสร้างคุณหรือหยุดคุณในอาชีพการค้าแข้งของคุณ เขาเป็นคนตัดสินใจว่าคุณจะได้ไปนั่งดื่มด่ำกับอาหารจีนและไวน์กับครอบครัว ของคุณหลังจบเกม หรือคุณจะนั่งอยู่ท่ามกลางความเงียบที่แสนทรมาน
มันเกิดขึ้นครั้งแรกที่แอนฟิลด์ที่ผมได้เห็นสิ่งที่ทุกคนเรียกกันว่า "ไดร์เป่าผม" ถึงแม้ว่านักเตะของพวกเราจะไม่เคยเรียกแบบนั้นก็ตาม
"แกลื่นล้ม" เจ้านายตะโกนใส่ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล "คุณก็เหมือนกัน" ชไมเคิ่ลสวนกลับ หลังสิ้นเสียงของเขา ทุกๆคนเงยหน้าขึ้นมองและคิดว่า "โอ้พระเจ้า เขาโดนแน่" และมันก็แน่นอนเจ้านายจัดการเด็ดหัวปีเตอร์ออกเรียบร้อย
หลังจากนั้นมีเหตุการณ์ในปี 1994 ที่พวกเราถูกบาร์เซโลน่าไล่ถล่มที่คัมป์ นู ในช่วงครึ่งเวลาเจ้านายจวกพอล อินซ์ซะยับ โดยมีจุดหนึ่งไบรอัน คิดด์ (ผู้ช่วยผู้จัดการทีม) อยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสอง พร้อมที่จะหยุดพวกเขาและคิดว่ามันจะเกินเลยไปกว่านั้น
หลังจากที่อินซ์ได้ย้ายทีมในปี 1995 หลายๆคนสงสัยว่าเจ้านายทำอะไรลงไป หลังจากบทสรุปในฤดูกาลที่แสนย่ำแย่ที่ผ่านมา เขาคงจามขวานของเขาลง
อินซี่ถูกเสนอขายให้กับอินเตอร์ มิลาน อังเดร แคนเชสกี้เป็นรายต่อไป และที่ช็อคที่สุดก็คือสปาร์คกี้ (มาร์ค ฮิวจส์) ผมนั่งอยู่ในรถของผมและได้ยินวิทยุบอกว่าเขาจะย้ายไปเล่นให้กับเชลซี ผมมึนงงเฉกเช่นเดียวกับเหล่าแฟนบอลสเตร็ทฟอร์ด เอ็น
อิทธิพลและความหนักแน่นของเจ้านายไม่เคยจางหายไป แม้กระทั่งเขาเข้าใกล้อายุ 70 ปีแล้วก็ตาม ฉะนั้นแล้วมันทำให้พวกเราประหลาดใจในตอนที่เขาวางแผนจะเลิกคุมทีมในช่วงปี 2002
ในตอนที่พวกเราลงเล่นในฤดูกาลนั้น พวกเรานับวันถอยหลังรอวันเลิกคุมทีมของเขา หลังจากนั้นยาป สตัมถูกขายทิ้ง และเหล่านักเตะก็งงกันเป็นไก่ตาแตก
ทฤษฎีสมคบคิดต่างๆถูกยกขึ้นมาเพราะการย้ายทีมของยาป มาหลังจากที่เขาออกหนังสืออัตชีวประวัติ ถึงแม้ว่าตัวผมเองจะคิดว่าหนังสือนั้นมีส่วนเพียงน้อยนิด หรือไม่เกี่ยวข้องเลยก็ตาม
ผมรู้ว่าผู้จัดการทีมไม่ได้อะไรกับมันมากนัก เช่นเดียวกับผมที่ถูกเขาเรียกว่า "ไอ้ตัวหัวค**น่ารำคาญ"
ยาปได้เรียกคำนั้นกับผมต่อหน้าหลายๆครั้ง และผมก็รู้ว่ามันหมายความแบบนั้นจริงๆ แต่มันก็ไม่ได้ดูฉลาดมากนักกับการเผยแพร่เรื่องนี้ไปทั่วหน้าหนังสือพิมพ์
สิ่งเดียวที่น่าจะเป็นเหตุผลก็เพราะผู้จัดการทีมสูญเสียความมั่นใจในตัวเขา เขาคิดว่ายาปช้าลง ซึ่งแม้กระทั่งว่าบางส่วนของเขาอาจจะคิดถูก เขาก็ยังคงเป็นกองหลังที่ยอดเยี่ยมของพวกเราอยู่ดี มันเป็นการตัดสินใจที่แปลกประหลาด และทำให้มันแปลกไปกว่านั้นหลังเขาดึงตัวโลร็องค์ บล็องก์ กองหลังสุดคลาสสิคแต่ชัดเจนว่าผ่านจุดที่ดีที่สุดของเขาไปแล้วมาแทนการจากไป ของยาป
มันมีการตัดสินใจครั้งสำคัญไม่มากนักที่คุณจะชี้นิ้วแล้วบอกว่าเจ้านาย ตัดสินใจพลาด แต่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2002 เขาเปิดเผยว่าเขาจะไม่เลิกคุมทีมแล้ว ลึกลงไปในจิตใจของพวกเราทุกๆคนล้วนแล้วแต่ดีใจกันทั้งนั้น
ผมบอกว่าทุกๆคน แต่ใบหน้าของดไวท์ ยอร์คดูซึมๆ เพราะเขาตกเป็นตัวสำรองและบางทีเขาจะได้การออกสตาร์ทใหม่ๆ จากผู้จัดการทีมคนใหม่ ตอนนั้นเจ้านายแทบจะยังไม่ได้ออกจากห้องตอนที่รอย คีนโป้งออกมาว่า "มึงซวยแล้วไงล่ะ ยอร์คกี้"
การตัดสินใจที่จะคุมทีมต่อไปของผู้จัดการทีมส่งผลกระตุ้นชั้นยอดให้กับพวก เรา แต่มันมาช้าไปสำหรับการรักษาฤดูกาลที่เต็มไปด้วยความไม่สม่ำเสมอ คนที่ดูขึ้นๆลงๆมากที่สุดดูจะเป็นรุด ฟาน นิสเตอรอย - เขาเป็นตัวจบสกอร์ชั้นยอดและดูเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมทีมคนเดียวที่ผมเคยมี ปัญหาด้วย
พวกเรากำลังลงแข่งขันกับมิดเดิ้ลสโบรห์ และผมก็จ่ายบอลทะลุช่องให้กับเขา รุดยกมือของเขาขึ้นไปในอากาศ เหมือนกับจะบอกว่า "เอ็งพยายามจะทำอะไร?" ผมวิ่งเข้าไปหาเขาแล้วบอกกับเขาว่า "วิ่งตามมันไปสิวะ ไอ้***ขี้เกียจ"
หลังจากจบเกมการแข่งขันผมกำลังนั่งอยู่ที่มุมห้องและถอดรองเท้าออก ก่อนรุดจะบินเข้ามาหาผมและพูดกับผมว่า "อย่าได้ทะลึ่งตะโกนใส่กูในสนาม" ผมพยายามจะผลักเขาออกไป เพื่อนร่วมทีมโดดเข้ามาห้ามและแยกพวกเราออกจากกัน สิ่งต่างๆดูเดือดขึ้นเรื่อยๆในค่ำคืนนั้น แต่วันต่อมาพวกเราก็จับมือกัน
บางทีเขาคงจะคิดว่าผมเป็นแค่ขนตูดนักเตะแบ็คขวาทีมชาติอังกฤษธรรมดา ส่วนเขาเป็นผู้สืบทอดของฟาน บาสเท่น โดยการวิ่งไล่ตามบอลทะลุช่องไม่ใช่จุดแข็งของเขา และเขาอาจจะคิดถูกก็ได้
พวกเราดูแข็งแกร่งในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลถัดมา แต่แม้ในกระทั่งฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จ มันก็มักจะมีเกมการแข่งขันที่ทุกๆอย่างดูผิดพลาดไปซะหมด ฤดูกาลนั้นพวกเราแข่งขันที่เมน โร้ดในเดือนพฤศจิกายนและพ่ายแพ้ให้กับซิตี้ 3-1 ผู้จัดการทีมเดือดสุดๆ คุณสามารถมองเห็นเขาใกล้จะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
หลังจากนั้นรุดเดินเข้าห้องแต่งตัวพร้อมกับมีเสื้อของนักเตะซิตี้พาดบ่าอยู่ เขาคงจะถูกขอแลกเสื้อในระหว่างทางเดินและไม่ได้คิดอะไร
แต่ผู้จัดการทีมคิด "แกอย่าบังอาจเอาเสื้อไปให้กับใคร อย่าได้ทำแบบนั้นอีก หากอั๊วะได้เห็นใครสักคนให้เสื้อของตัวเองกับคนอื่น มันคนนั้นจะไม่ได้ลงเล่นให้กับอั๊วะอีก"
ในเดือนกุมภาพันธ์พวกเราต้องตกรอบเอฟเอ คัพด้วยน้ำมือของอาร์เซนอล แต่มันไม่ใช่ผลการแข่งขันที่ทำให้เกิดปัญหาครั้งใหญ่
ในห้องแต่งตัว ผู้จัดการทีมกล่าวโทษเบ็คส์ที่ทำให้เสียประตูประตูหนึ่ง เบ็คส์ไม่เห็นด้วย โต้ตอบเขากลับไปและผู้จัดการทีมก็ระเบิดออกมา เขาหันไปรอบๆมองเห็นสตั๊ดวางอยู่กับพื้นและเตะมันเหมือนกับพยายามตะบันยิง ประตู
เขาเผชิญหน้ากับเบ็คส์ แต่มันไม่มีทางเลยที่เขาตั้งใจจะเตะใส่หน้าของเบ็คส์ ผมได้เห็นผู้จัดการทีมเตะบอลในช่วงซ้อมมาแล้ว ให้เขาทำแบบนั้นอีกพันครั้งเขาก็ทำไม่ได้หรอก แต่สตั๊ดลอยไปโดนหน้าเบ็คส์ในส่วนเหนือตาของเขา และสร้างบาดแผลให้กับเขา เขายกมือขึ้นและรู้ว่าเลือดไหล จากนั้นแล้วเบ็คส์ยืนขึ้นและอาละวาดทันที
ในช่วงไม่กี่วินาที เจ้านายตกตะลึงพูดอะไรไม่ออกซึ่งมันดูไม่เหมือนกับเขาเลย ผมคิดว่าเขารู้ว่าเตะนักเตะของเขาด้วยรองเท้าสตั๊ด แม้ว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุ เขาขอโทษตรงๆ "เดวิด ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเตะรองเท้าใส่หน้าแกนะ"
เบ็คส์ไม่ได้รับฟังคำขอโทษดังกล่าว พวกเราบางคนต้องแยกเขาสองคนออกจากกัน เหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์แทบจะทุกฉบับ การเปลี่ยนแปลงดูจะมาจากสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
พวกเราคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกกลับมาได้ในปี 2003 แต่มันเป็นจุดจบของเบ็คส์ มันไม่ใช่แนวทางที่เขาต้องการจะย้ายทีม แต่เขาก็สามารถจะได้เล่นให้กับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเช่นเดียวกับยูไน เต็ด เรอัล มาดริด ที่ๆเขาจะได้ลงเล่นกับสตาร์ชื่อดังทั้งซิเนอดิน ซีดาน, หลุยส์ ฟิโก้และโรแบร์โต้ คาร์ลอส
เหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2005 แต่มันยากเหลือเกินที่จะได้รู้ว่าความเปลี่ยนแปลงต่างๆคืออะไร จนกระทั่งคำวิจารณ์ของรอย คีนผ่านรายการโทรทัศน์ของสโมสรเราเอง MUTV
ผลการแข่งขันที่พวกเราถูกมิดเดิ้ลสโบรห์ถล่มไป 4-1 ทำให้พวกเราถูกเชลซีทิ้งห่างในลีก รอยรู้สึกว่านักเตะดาวรุ่งนั้นไม่ทุ่มเท เขาเห็นเด็กพวกนั้นเล่นเกมเพลย์สเตชั่นกันและเขาก็รับไม่ได้ โปรแกรมการออกอากาศถูกยกเลิกโดยทางสโมสร แต่เรื่องราวหลุดออกไปและสื่อต่างๆก็เล่นมัน
ผู้จัดการทีมมีความภาคภูมิใจในตัวเองสำหรับการเก็บเรื่องราวปัญหาต่างๆไว้ หลังประตู เขาเรียกทุกๆคนมาที่ออฟฟิศของเขาเพื่อสะสาง รอยและผู้จัดการทีมไม่พูดคุยกันอีกเลยและมันไม่สามารถดำเนินต่อไปแบบนั้นได้
รอยกำลังจะกลับมาลงเล่นในทีมสำรองกับผม หนึ่งในทีมงานบอกกับเขาว่าเขาจะไม่ได้เล่น เขาเองรู้ดีกับจุดจบที่ใกล้จะเกิดขึ้นและวันถัดมารอยก็จากไป
มันเกิดขึ้นในการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ ลีกปี 2007 เมื่อผมมีปัญหาการเผชิญหน้าที่ซีเรียสที่สุดกับผู้จัดการทีม พวกเราได้ประตูจากลูกฟรีคิกเร็วในขณะที่ลีลล์กำลังตั้กำแพงกันอยู่ หลังจากพวกเขาประท้วงผู้ตัดสินพวกเขาเริ่มที่จะวอล์คเอ้าท์
"มาสิวะ ลงเล่นกันต่อไปเถอะ" ผมพูดกับกัปตันทีมของเขาบริเวณข้างสนาม สิ่งต่อไปที่ผมรู้ก็คือผู้จัดการทีมดิ่งมาหาผม และตะโกนใส่ผมว่า "แกทำอะไรของแก กลับไปอยู่ในสนาม!"
สิ่งเดียวที่ผมเป็นห่วงตอนนั้นก็คือ ผมพยายามจะทำทุกๆอย่างให้ทุกๆคนกลับไปลงสนามซึ่งพวกเรากำลังนำอยู่ ผมสวนเขากลับไปว่า "ฟัค อ้อฟ" แล้วก็เดินหนีออกมา
ถึงตอนนี้ ผมพูดคำว่า "ฟัค อ้อฟ" เป็นล้านๆครั้งกับหลายๆคนแต่ผมไม่เคยพูดกับผู้จัดการทีมเลยสักครั้ง ผมรู้ว่าผมจะไม่รอดไปจากคำพูดนั้น หลังจากนั้นผมก็ถูกเรียกให้ไปพบเจ้านายในห้องทำงานของเขา เขาโกรธมากๆ และเล่นงานผมทันที
พวกเราลงเล่นกับฟูแล่มในสัปดาห์ถัดมา และเขาก็เรียกผมติดทีมไปด้วยที่ลอนดอน แต่ไม่ได้ใส่ผมในรายชื่อตัวสำรอง อีก 3 วันหลังจากนั้นผมก็ติดทีมไปที่เรดดิ้งและก็ถูกปล่อยให้อยู่บนอัฒจรรย์อีก ครั้ง ทริปนั้นเป็นอะไรที่เสียเวลามากแต่ผู้จัดการทีมก็มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น ผมจะไม่ไปสบถใส่เขาอีกแล้ว
มันคงจะเป็นช่วงเวลาที่น่าเศร้ามากๆในวันที่เขาเลิกคุมทีม ผู้จัดการทีมคนต่อไปของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะต้องกล้าหาญ และเขาจะต้องมีความเด็ดขาด
ในช่วงเดือนตุลาคม 2010 เวย์น รูนี่ย์ทำให้ทุกๆคนตกตะลึงโดยการตัดสินใจว่าเขาต้องการจะย้ายออกจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
หลังจากนั้น ก่อนเกมแชมเปี้ยนส์ ลีกกับบูราสปอร์ เขาออกแถลงการณ์เปิดเผยว่าสโมสรขาดความทะเยอทะยานและขุมกำลังนั้นไม่ดีพอ
เวย์นเป็นคนดี เขาไม่ใช่พวกตัวสร้างปัญหา ฉะนั้นแล้วพวกเราต่างตกตะลึงกับคำพูดของเขา
ในเช้าวันถัดมา ผมเห็นเวย์นในสนามซ้อม "เอ็งมาทำอะไรที่นี่ไอ้อ้วน?" ผมถามเขา "ฉันจะอยู่ต่อ" เขาตอบผม "ป้อมึงดิ! จริงหรอ? ถ้าแกจะอยู่ต่อแกก็ต้องขอโทษนะ"
ผมไม่คิดว่าเขาจำเป็นจะต้องได้รับการบอกให้ทำแบบนั้น ในช่วง 24 ชั่วโมงเวย์นโทรหานักเตะทุกๆคนให้มารวมกันและกล่าวคำขอโทษ เขาบอกว่าเขาได้ทำพลาดและอ่านสถานการณ์ผิดไป
http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=472522&sid=c6407689563a5a7d775afb7a348deb48
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น