ยินดีต้อนรับ

วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสโมสร

1. เพื่อเป็นการส่งเสริมด้านสุขภาพ และลดความเครียดจากการทำงาน

2. เพื่อเป็นการตอบสนองสมาชิกที่อยากเล่นบอล แต่ไปขอใครเล่นเขา

ก็ไม่ให่เล่น จึงคิดตั้งสโมสรขึ้นมาเล่นเอง ฮิฮิ

3. เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ที่ทำงานกันที่อื่น

4. วัตถุประสงค์สุดท้ายคือ หาเรื่องไปหาอารัยกินกัน



วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Exclusive : โหมโรงชิงคาร์ลิ่ง!หงส์ลุ้นแชมป์แรกในรอบ 6 ปี




แชมป์แรกในรอบ 6 ปีของ"หงส์แดง"จะเดินทางมาถึงหรือไม่อาทิตย์รู้กันหลังลิเวอร์พูลจะลงฟาดแข้งในนัดชนะเลิศศึกคาร์ลิ่ง คัพบอลถ้วยรายการแรกของเมืองผู้ดีกับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ วันนี้จึงมีส้นทางของทั้งสองทีม นักเตะที่น่าจับตามองและสถิติเล็กน้อยมาให้ได้อ่านกันครับ

เส้นทางสู่เวมบลีย์ของลิเวอร์พูล

"หงส์แดง"ลิเวอร์พูลเริ่มต้นเส้นทางสายคาร์ลิ่ง คัพด้วยการออกไปเยือนเอ็กซ์เซเตอร์ ซิตี้ในรอบที่ 2 ก่อนจะเอาชนะไปได้ 3-1 ได้ประตูจากหลุยส์ ซัวเรส, มักซี่ โรดริเกซและแอนดี้ คาร์โรลล์

เมื่อเข้าถึงรอบที่ 3 พวกเขาก็ถูกจับสลากให้ออกไปเยือนไบรจ์ตันทีมจากระดับแชมเปี้ยนชิพก่อนจะเอาชนะไป 2-1 จากลูกยิงของเดิร์ก เคาท์และเคร็ก เบลลามี่ หลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องเผชิญศึกหนักกับทีมจากพรีเมียร์ลีกต่อเนื่อง 3 รอบรวดประเดิมด้วยการเยือนสโต๊ค ซิตี้ในรอบ 4 ก่อนจะเฉือนเก็บชัยไป 2-1 ซึงทั้งสองลูกก็เป็นฝีมือของซัวเรส

เกมรอบ 5 พวกเขาก็ต้องเจอกับทีมระดับท็อปอย่างเชลซีที่สแตมฟอร์ด บริดจ์และเป็นมาร์ติน เคลลี่กับมักซี่ที่แบ่งกันยิงคนละลูกเอาชนะ 2-0 ช่วยให้ผ่านเข้าไปพบกับศึกหนักอีกทีมอย่างแมนฯ ซิตี้ในรอบรองชนะเลิศ

รอบรองฯทีมดังจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ออกไปเยือนที่เอติฮัด สเตเดี้ยมในนัดแรกก่อนจะเฉือนเอาชนะไปจากลูกจุดโทษของสตีเฟ่น เจอร์ราร์ดกัปตันทีม ก่อนจะกลับมาเล่นนัดสองกันที่แอนฟิลด์และแม้"หงส์แดง"จะโดนนำไปก่อนถึงสองครั้งแต่ก็ไล่ตีเสมอกลับมาได้ทั้งสองครั้ง ทำให้จบเกมกันที่สกอร์ 2-2 เพียงพอแต่การเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศที่เวมบลีย์เพื่อไปคว้าแชมป์แรกในรอบ 6 ปี


เส้นทางสู่เวมบลีย์ของคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้

ด้านเส้นทางสู่เมืองหลวงอังกฤษของทีมจากเวลส์อย่างคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ก็ลำบากไม่แพ้กันหลังออกสตาร์ทในเกมคาร์ลิ่งตั้งแต่รอบแรกด้วยการเยือนอ็อกซ์ฟอร์ด ซิตี้ซึ่งจบลง 90 นาทีด้วยการเสมอที่ 1-1 ก่อนพวกเขาจะมาได้สองประตูเพิ่มในช่วงต่อเวลาทำผ่านเข้าสู่รอบถัดไป

เข้าสู่รอบ 2 ก็เป็นอีกครั้งที่"บลูเบิร์ด"ต้องเล่นแบบต่อเวลาโดยพวกเขาพบกับฮัดเดิลส์ฟิลด์และเสมอกันใน 90 นาทีที่ 3-3 สุดท้ายพวกเขาก็มาบวกอีกสองลูกในช่วงต่อเวลาพาให้ผ่านมาพบกับเลสเตอร์ ซิตี้ในรอบที่ 3 ซึ่งเป็นอีกเกมที่เล่นกันถึง 120 นาทีแต่ก็ยังหาผู้ชนะไม่ได้เพราะเสมอกัน 2-2 สุดท้ายคาร์ดิฟฟ์ก็แม่นยำกว่าผ่านเข้ารอบโดยเอาชนะในการดวลจุดโทษ

คาร์ดิฟฟ์เดินทางสู่รอบ 4 ด้วยการเปิดบ้านพบกับเบิร์นลี่ย์และนี่เป็นเกมแรกในเส้นทางสู่คาร์ลิ่งที่พวกเขาไม่ต้องเล่นถึงต่อเวลาโดยเฉือนกันไป 1-0 ไปพบกับแบล็กเบิร์น โรเวอร์ทีมจากพรีเมียร์ลีกในรอบที่ 5 ก่อนโชว์ฟอร์มเยี่ยมเปิดบ้านเอาชนะด้วยสกอร์ 2-0

เมื่อเข้าถึงรอบรองชนะเลิศพวกเขาต้องพบกับทีมระดับแชมเปี้ยนชิพด้วยกันอย่างคริสตัล พาเลช นัดแรกพวกเขาต้องบุกไปเยือนก่อนแล้วปราชัยกลับมา 1-0 แต่พอกลับมาเล่นได้บ้าน"บลูเบิร์ด"ก็เอาชนะไปได้ 1-1 สกอร์รวมเท่ากันทำให้ต้องต่อเวลากันยาวถึงจุดโทษก่อนเป็นพวกเขาที่แม่นกว่าเอาชนะไปได้ ตบเท้าเข้าสู่เวมบลีย์เพื่อไปทำให้ฝันของพวกเขาเป็นจริง


นักเตะทั้งสองทีมที่น่าจับตามอง

มาร์ติน สเคอร์เทล ปะทะ เคนนี่ มิลเลอร์
ดาวเตะทีมชาติสโลวาเกียนั้นอาจเรียกได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของอาชีพการค้าแข้งกับลิเวอร์พูลก็ว่าได้ และความดุดันของเขาที่ไม่ค่อยเข้าพรวดมากนักเป็นสิ่งทำให้แนวรับของ"หงส์แดง"แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งเขายังมีอันตรายกับลูกตั้งเตะด้วย

ด้านมิลเลอร์กลายเป็นนักเตะคนสำคัญของ"บลูเบิร์ด"ไปแล้วหลังจากเริ่มต้นได้อย่างไม่เปรี้ยงปร้าง แต่แม้เขาจะยิงไปแล้ว 10 ประตูในฤดูกาลนี้ เขาก็ยังยิงประตูใน 6 เกมหลังสุดไม่ได้เลย

เคร็ก เบลลามี่ ปะทะ เควิน แม็คนอจ์ตัน
เบลลามี่อาจถูกยกให้เป็นนักเตะที่ดีที่สุดของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ก็เป็นได้และแม้เขาจะได้ออกสตาร์ทในตำแหน่งมิดฟิลด์ริมเส้นซ้าย แต่ก็ยังเป็นเป็นตัวเลือกในการเล่นแดหน้าได้ด้วย

แบ็คขวาอย่างแม็คนอจ์ตันจะได้ประสบการณ์มากมายกับการเผชิญหน้าดาวเตะทีมชาติเวลส์แน่นอน โดยทั้งคู่ได้ลงซ้อมร่วมกันแล้วในช่วงที่เบลลามี่ถูกยืมกลับมาค้าแข้งที่บ้านเกิดเมื่อซีซั่นก่อน แต่ความเร็วของ"ถีบจักร"นั้นก็อาจสร้างปัญหาให้ได้

สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ปะทะ ปีเตอร์ วิตติ้งแฮม
โดยปกติแล้วเกมใหญ่ๆแบบนี้เจอร์ราร์ดมักงัดฟอร์มที่ดีที่สุดของเขาออกมาได้อยู่แล้ว และในขณะที่เขายังโชว์ฟอร์มระดับท็อปได้อย่างต่อเนื่องหลังพลาดการลงสนามในฤดูกาลนี้มาเกือบ 4 เดือนจากอาการบาดเจ็บหลายอย่าง อิทธิพลในการบัญชาเกมของเขาจะมีเป็นสิ่งสำคัญต่อผลการแข่งด้วย

วิตติ้งแฮมเป็นคนที่คอยขับเคลื่อนคาร์ดิฟฟ์แต่ก็ต้องพบกับบททดสอบอันใหญ่หลวงจากดาวเตะทีมชาติอังกฤษผู้นี้ อย่างไรก็ตามเขาเองก็อันตรายเช่นกันจากลูกฟรีคิกและความสามารถในการจบสกอร์ที่เด็ดขาด

หลุยส์ ซัวเรส ปะทะ เบน เทอร์เนอร์
งานนี้โฟกัสจะตกไปอยู่ที่ดาวเตะทีมชาติอุรุกวัยอย่างแน่นอนหลังเขาเป็นข่าวมาแล้วจากหลายๆเรื่องในฤดูกาลนี้และรอบชิงชนะเลิศนี้ก็เป็นโอกาสอันเหมาะสมที่เขาจะได้แสดงทักษะและเคลื่อนที่ที่มีประสิทธิภาพมากๆ โดยเฉพาะในและรอบๆกรอบเขตโทษ

ส่วนเทอร์เนอร์เองก็ฟอร์มน่าจะประทับใจเช่นกันนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับคาร์ดิฟฟ์ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่เขาจะเหมาะกับเกมที่ต้องใช้ร่างกายปะทะเสียมากกว่าและเขาก็ไม่น่าเคยจะเผชิญหน้ากับนักเตะที่มีคุณภาพแบบซัวเรสมาก่อน


เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยด้านสถิติของทั้งสองทีม

ลิเวอร์พูลกับคาร์ดิฟฟ์เจอกันครั้งล่าสุดในรายการคาร์ลิ่ง คัพเมื่อปี 2007 โดยเป็นฝ่ายมุมแดงที่เอาชนะไปได้ 2-1

ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในรายการลีก คัพนี้โดยพวกเขาคว้าได้ทั้งหมด 7 ครั้งด้วยกัน(ครั้งล่าสุดปี 2003)และจบด้วยการเป็นรองแชมป์ 3 ครั้ง

"หงส์แดง"เคยคว้าแชมป์เหนือทีมจากลีกที่ต่ำกว่าในศึกคาร์ลิ่ง คัพมา 3 ครั้งด้วยกันนั่นก็คือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด(ปี 1981), โบลตัน วอนเดอรเรอร์(ปี 1995)และเบอร์มิ่งแฮม (ปี 2001)

คาร์ดิฟฟ์ผ่านเข้ามาเล่นในศึกลีก คัพรอบชิงครั้งแรกของสโมสรและยังเป็นสโมสรอับดับ 16 นอกลีกสูงสุดที่ผ่านเข้ามาถึงรอบชิงฯและยังเป็นทีมแรกต่อจากเบอร์มิ่งแฮมเมื่อปี 2001 ที่พ่ายให้กับลิเวอร์พูลไปนั่นเอง

ลูกทีมของมัลกี้ แม็คเคย์นั้นยังควานหาชัยชนะนอกประเทศเวลส์ไม่ได้เลยในปี 2012 นี้ซึ่งเป็น 6 เกมติดต่อในทุกรายการเข้ากันไปแล้ว
http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=558584&sid=49f9dc1717cf3989a349e0277d654ebd

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น